ภัยเงียบจากไขมันตับ

ภัยเงียบจากไขมันตับ

มันคืออะไร ไขมันพอกตับ คือ สภาวะที่มีไขมัน โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ เข้าไปอยู่ในเซลล์ตับมากกว่า 5-10% ของตับโดยน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะพบในคนที่เป็นโรคอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน และ ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ ทำไมต้องสนใจมันด้วย ที่ต้องสนใจก็เพราะว่าไขมันพอกตับสามารถนำไปสู่ภาวะตับวาย ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ และอาการของมันไม่ได้แสดงให้เราเห็นได้ง่ายๆ แต่จะเจอะเจอมันจากการตรวจอัลตราซาวด์ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์ของตับ ระดับน้ำตาล ระดับไขมัน รวมถึงการเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจเท่านั้น ความรุนแรงของมันเป็นอย่างไร ความรุนแรงของสภาวะไขมันพอกตับขึ้นอยู่กับระยะที่เป็น โดยการดำเนินโรคแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้ตับมีการอักเสบ หรือพังผืดเกิดขึ้น ระยะที่สอง เป็นระยะที่ตับเริ่มมีอาการอักเสบ โดยในระยะนี้ถ้าไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6…

5 อันดับ ยาปฏิชีวนะที่มาจากธรรมชาติ

5 อันดับ ยาปฏิชีวนะที่มาจากธรรมชาติ

ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้ในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อใช้อย่างถูกต้องพวกมันจะสามารถฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหา เช่นติดเชื้อที่หู ปัญหากระเพาะอาหารและปัญหาผิวต่างๆได้ ยาปฏิชีวนะที่แตกต่างกันก็มีปฏิกิริยากับประเภทของของแบคทีเรียและชนิดของปรสิตที่แตกต่างกันด้วย แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะโดยขึ้นอยู่กับเชื้อโรค (แบคทีเรียหรือพยาธิ) ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อนั้นๆ อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะจะใช้ไม่ได้กับการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส เช่นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ การไอและการเจ็บคอ อีกทั้งยังใช้ไม่ได้กับกรณีการติดเชื้อราด้วย ยาปฏิชีวนะได้กลายเป็นยาที่แพทย์ได้จ่ายให้คนไข้มากที่สุดประเภทหนึ่งในปัจจุบัน การจ่ายยาที่มากเกินไปนี้จะเป็นอันตรายกับผู้ป่วยเพราะอาจจะทำให้เกิดการดื้อยาขึ้นมาได้ นอกจากนี้การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ และก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่นอาการท้องร่วง และคลื่นไส้ อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการลดอันตรายที่กล่าวมาข้างต้น จึงมีการแนะนำกันให้ใช้ยาปฎิชีวนะจากธรรมชาติมาช่วยด้วย อาหารหลายชนิดทำหน้าที่เป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาสุขภาพมากมาย นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะธรรมชาติส่วนใหญ่ยังสามารถรักษาการติดเชื้อไวรัสและเชื้อรา อีกทั้งยังไม่ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีที่อยู่ในร่างกายอีกด้วย ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติเหล่านี้เพียงลำพังอาจไม่เพียงพอในการรักษาโรคติดเชื้อร้ายแรง ฉะนั้นสำหรับโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่รุนแรง เช่นไทฟอยด์ วัณโรค วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ยาปฏิชีวนะธรรมชาติเหล่านี้ในการรักษาเสริมด้วยยาปฏิชีวนะทั่วๆไปที่จ่ายโดยแพทย์ร่วมกัน ขอให้แน่ใจว่าคุณกินยาครบโดสตามแพทย์สั่ง มิฉะนั้นอาจนำไปสู่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำให้เกิดอาการดื้อยาจนส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงขึ้นได้ ต่อไปนี้คือ ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ 5 อันดับแรก   1. กระเทียม กระเทียมเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติที่ช่วยในการต้านเชื้อราและเชื้อไวรัส ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารจุลินทรีย์และการติดเชื้อ 2552 พบว่าสารประกอบกำมะถันที่เรียกว่าอัลลิซิในกระเทียมเป็นสารออกฤทธิ์…

ขมิ้นกินวันละเท่าไหร่

ขมิ้นกินวันละเท่าไหร่

เคยมีคนถามว่าขมิ้นชันกินวันละเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล มันยากนะครับที่จะบอกให้ชัดเจนว่ากินเท่าไหร่ ที่ว่ายากก็เพราะว่าการดำรงชีวิตของคนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบกินของปิ้งย่าง บางคนก็ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี รวมถึงขมิ้นที่บริโภคได้ก็มีอยู่หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น กินขมิ้นสดกับน้ำพริก กินขมิ้นผงแคปซูลหรือกับแกงต่างๆ หรือแม้กระทั่งขมิ้นสกัดที่สกัดกันมาเฉพาะสารสำคัญ จากปัจจัยต่างๆเหล่านี้การกินเท่าไหร่จึงได้ผลเป็นสิ่งที่ตอบได้ยากมาก ผมว่าก็คงไมม่มีใครฟันธงได้ แต่ที่แน่ๆเราควรจะทราบว่าปริมาณที่กินได้ต่อวันเป็นเท่าไหร่ จำนวนขมิ้นที่สามารถกินได้ต่อวันนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการกิน ซึ่งได้แก่ กินเพื่อป้องกัน หรือกินเพื่อรักษา รวมถึงวิธีในการกินด้วย เพราะขมิ้นโดยปกติจะไม่ละลายในน้ำ แต่จะละลายในไขมันทำให้ขมิ้นถูกขับออกจากร่างกายก่อนที่ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ รุปแบบในการบริโภคของขมิ้นจึงมีหลักๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ก็ยังมีรูปแบบเพิ่มเติมอีกรุปแบบหนึ่งคือการสกัดขมิ้นเพื่อให้ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายดุดซึมสารสำคัญได้ดีขึ้นด้วย จากการค้นหาข้อมูลต่างๆพบว่ามีสถาบันที่น่าเชื่อถือในต่างประเทศที่มีการทำการวิจัย และทดสอบจำนวน และรูปแบบในการกินว่าควรเป็นเท่าไหร่ ดังนี้ ข้อมูลของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ขมิ้นสดหั่น เช่นกินกับน้ำพริก หรือสลัด ปริมาณที่กินได้คือ 1.5 – 3 กรัมต่อวัน ขมิ้นตากแห้ง ผงขมิ้น ปริมาณที่กินได้คือ 1 – 3…

รู้ให้ชัด ประโยชน์ของ เคอร์คิวมินอยด์ ใน ขมิ้นชัน

เคอร์คิวมินอยด์ ใน ขมิ้นชัน ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง โดยมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มากกว่าวิตามินอี อย่างน้อย 50 เท่า ซึ่งสารอนุมูลอิสระนี้เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งผิวหนัง และมะเร็งลำไส้ โดยสามารถป้องกันสารเคมี ยาฆ่าแมลงเช่น ดีดีที และไดอ๊อกซิน ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ร่างกาย ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ช่วยส่งเสริมการรักษาโรคมะเร็งให้ได้ผลดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่รักษาในขั้นเคมีบำบัด โดยป้องกันสารที่ใช้ในเคมีบำบัดไม่ให้ไปทำร้ายเซลล์ที่ดี และเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการรักษาด้วยเคมีบำบัด ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี และป้องกันโรคผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกลากที่เกิดจากเชื้อรา ช่วยป้องกันตับอักเสบ เนื่องจากสารพิษ โดยมีคุณสมบัติในการล้างพิษในตับตามธรรมชาติ และเนื่องจากตับ เป็นแหล่งกำเนิดของน้ำย่อยหลายชนิด จึงเป็นกระบวนการในการลดอาการจุกเสียดทางอ้อม ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลที่สูง (High cholesterol) และเผาผลาญไขมันในร่างกาย (Fat Burn) ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s) โดยยับยั้งการก่อเกิดเอนไซม์ acetyl-cholinesterase…

“ขมิ้นชัน” พืชสมุนไพรคุ้ยเคยของคนไทย

หากถามคนไทย 100 คน ว่ารู้จัก “ขมิ้นชัน” ไหม ทุกคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้จัก” แต่หากถามต่อไปว่า รู้ไหมว่า “ขมิ้นชัน” มีประโยชน์อย่างไร อาจจะมีไม่ถึง 20 คน ที่จะให้คำตอบคุณได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง จากประโยชน์นานับประการของสารออกฤทธิ์สำคัญในขมิ้นชัน ที่ชื่อว่า “เคอร์คิวมินอยด์” (curcuminoid) ทำให้ “ขมิ้นชัน” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นบัญชียาสมุนไพรแห่งชาติของไทยเลยทีเดียว และไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยที่เห็นความสำคัญนี้เท่านั้น ในต่างประเทศเองก็ยังเห็นประโยชน์อันมหาศาลนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา, อังกฤษ, หรือ ญี่ปุ่น เนื่องจากประเทศเหล่านี้สังเกตุเห็นว่าอัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ของชาวอเมริกันผู้ซึ่งนิยมบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยความมันจากไขมันที่มีสูงขึ้นทุกปี ผิดกับชาวอินเดียที่นิยมบริโภคอาหารที่มีความมันเช่นกัน แต่กลับมีสถิติผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าหลายเท่าตัว ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญคือ อาหารของชาวอินเดียแทบทุกประเภทมีส่วนผสมชนิดหนึ่งแทรกเป็นเครื่องปรุงอยู่เสมอ นั่นก็คือ “ขมิ้นชัน”

ไม่มีตับ ไม่มีชีวิต

ในปัจจุบันสังคมที่เร่งด่วนทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไป การกินอาหารที่เร่งรีบ และไม่เป็นประโยชน์ ทำให้โรคไกลตัว กลับกลายเป็นโรคใกล้ตัว คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญๆ ที่จะทำให้เสียชีวิตโดยเฉียบพลันเท่านั้น เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจ และโรคเกี่ยวกับกระแสเลือด แต่หารู้ไม่ว่าอวัยวะที่ทำให้เสียชีวิตแบบผ่อนส่งก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน “ตับ” เป็น อวัยวะส่วนหนึ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราควรจะทำความรู้จัก ให้ความสำคัญ และดูแลอย่างดี เพราะอะไร เรามาศึกษากัน ในปัจจุบัน เราจะพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิต จากโรคตับเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า จะเป็น มะเร็งตับ, ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส, โรคไขมันพอกตับ, และตับแข็ง โดยจากสถิติพบว่าคนไทย 10 คน จะเป็นโรคตับ 1 คน มีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุการเป็นโรคตับ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ลเพียงอย่างเดียว จึงคิดว่า…

มาร์คหน้าเพื่อให้หน้าสวยใสเปล่งประกาย

มาร์คหน้าเพื่อให้หน้าสวยใสเปล่งประกาย

ส่วนประกอบ: ขมิ้นผง 1/4 ช้อนชา โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนชา อโวคาโดบด 1 ช้อนชา 1. ล้างเครื่องสำอางค์ และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน 2. ผสมส่วนผสมข้างต้นให้เข้ากันก่อนที่จะทาลงบนใบหน้า โดยการทาให้ทาวนเป็นวงกลม 3. ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 4. ใช้ผ้านุ่มซับหน้า ควรมาร์คอาทิตย์ละครั้งเพื่อความสดใส

เคล็ดลับง่ายๆ และเป็นธรรมชาตืในการบรรเทาอาการคัน ระคายเคืองที่เกิดจากยุงกัด:

  เคล็ดลับง่ายๆ และเป็นธรรมชาตืในการบรรเทาอาการคัน ระคายเคืองที่เกิดจากยุงกัด: #วิธีธรรมชาติในการบรรเทาอาการถูกแมลงกัดต่อย #บรรเทายุงกัด – ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่โดนยุงกัด – ใช้มะนาวฝานวางบริเวณที่ถูกยุงกัด – ใช้หัวหอมฝานวางบริเวณที่ถูกยุง หรือ แมลงกัดต่อย เพื่อลดอาการปวด – ใช้ เบกกิ้งโซดา ผสมน้ำ แล้วทาบริเวณที่ถูกยุงกัด Thanks for the information and pictures from: http://www.ba-bamail.com/content.aspx?emailid=19490 http://food.ndtv.com/ingredient/lemon-701101 http://foodfacts.mercola.com/banana.html

อาหารชะลอความแก่

อาหารชะลอความแก่

โฮลเกรน เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน ปลา – โอเมก้า3 ในไขมันปลาข่วยให้ประโยชน์หลายอย่างในด้านชะลอความเเก่ มันสามารถป้องกันหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและต่อต้านโรคอัลไซเมอร์ เพียงเเค่บรืโภคไขมันจากปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เช่นปลาแซลมอน ปลาเทราห์ หรือ ปลาทูน่า ผลิตภัณฑ์จากนม – เเคลเซี่ยมและวิตามินดีในผลิตภัณฑ์จากนมเป็นอาหารสำคัญสำหรับเสริมสร้างกระดูกให้เเข็งเเรง เช่น การดื่มนมไขมันต่ำ โยเกิร์ต หรือผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่นๆ 3 ถ้วยต่อวัน แต่หากคุณไม่ดื่มนมก็สามารถบริโภคอาหารชนิดอื่นทดเเทนได้เช่น นมถั่วเหลือง นมถั่วอัลมอนด์ หรือซีเรียลที่เสริมด้วยเเคลเซี่ยมเเละวิตามินดี ถั่ว – ไขมันในถั่วเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด ถ้าคุณหบีกเลี่ยงการกินถั่วเพราะไขมันสูงเเล้วหล่ะก็ คุณควรจะลองคิดดูใหม่ ที่จริงเเล้วมีกาีค้นคว้าหนึ่งที่เปิดเผยให้เห็นว่าการกินถั่วจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความดันสูง เเละคลอเรสเตอรอลสูงได้ถึง 20% เพียงเเค่คุณทานถั่ว 1ใน 4…

น้ำอุ่นบีบมะนาว

น้ำอุ่นบีบมะนาว

เริ่มต้นวันดีๆของคุณด้วยการดื่มน้ำอุ่นๆบีบมะนาวที่ช่วยให้ประโยชน์นานับประการกับสุขภาพ และถ้าคุณไม่ชอบรสเปรี้ยวเพียงเเค่ใส่ขมิ้นผงลงไป ก็จะช่วยให้รสชาดดีขึ้นได้เเถมยังได้ประโยชน์เพิ่มเติมอีกด้วย เหตุผลต่อไปนี้คือเหตุผลที่คุณควรที่จะเริ่มวันใหม่ด้วยนิสัยการดื่มนี้ 1. ช่วยเเก้ปัญหาผิว กรดจากน้ำมะนาวมีสาร Antioxidants ในปริมาณมาก ซึ่งช่วยในการขจัดของเสียเเละอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย นอกจากนี้วิตามินซีในน้ำมะนาวยังช่วยเสริมสร้างคลอราเจน (คลอราเจน คือ โปรตีนเเบบหนึ่งที่มีหน้าที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น) 2. ช่วยดีท็อกซ์ตับ ลองคิดดูว่ามันจะดีเเค่ไหนหากเราสามารถทำให้ตับของเรากลับมาทำหน้าที่ในการขจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนกับเป็นอวัยวะชิ้นใหม่ที่ไม่เคยได้รับผลเสียจากนิสัยการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เเละการบริโภคเเอลกอฮอลล์หรือไขมันมากเกินไป 3. ช่วยเร่งขบวนการรักษาหรือการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามินซีเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์ใหม่ซึ่ งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เเหล่งวิตามินซีที่ดีจะช่วยทำให้กระดูกเเละฟันเเข็งเเรง ผิวมีสุขภาพดีขึ้น สายตาดีขึ้น เเละข้อต่อดีขึ้น 4. ช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น น้ำมะนาวให้ประโยชน์ด้านสุขภาพนานับประการ เช่น ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล ปรับความดันให้เป็นปกติ ลดระดับน้ำตาลในเลือด เเละช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะการเกิดโรคซึมเศร้า หรือความกังวล ดังนั้นการดื่มน้ำมะนาวทุกวันก็ช่วยให้สุขภาพจิตดีด้วย