ภัยเงียบจากไขมันตับ

มันคืออะไร

ไขมันพอกตับ คือ สภาวะที่มีไขมัน โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ เข้าไปอยู่ในเซลล์ตับมากกว่า 5-10% ของตับโดยน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะพบในคนที่เป็นโรคอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน และ ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ

ทำไมต้องสนใจมันด้วย

ที่ต้องสนใจก็เพราะว่าไขมันพอกตับสามารถนำไปสู่ภาวะตับวาย ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ และอาการของมันไม่ได้แสดงให้เราเห็นได้ง่ายๆ แต่จะเจอะเจอมันจากการตรวจอัลตราซาวด์ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์ของตับ ระดับน้ำตาล ระดับไขมัน รวมถึงการเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจเท่านั้น

ความรุนแรงของมันเป็นอย่างไร

ความรุนแรงของสภาวะไขมันพอกตับขึ้นอยู่กับระยะที่เป็น โดยการดำเนินโรคแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่

  • ระยะแรก เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้ตับมีการอักเสบ หรือพังผืดเกิดขึ้น
  • ระยะที่สอง เป็นระยะที่ตับเริ่มมีอาการอักเสบ โดยในระยะนี้ถ้าไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้
  • ระยะที่สาม เป็นระยะที่ตับมีอาการการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกทำลาย
  • ระยะที่สี่ เป็นระยะที่ตับถูกทำลายไปมาก ทำให้ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด

ระยะเวลาในการพัฒนาแต่ละขั้นจะเป็นไปอย่างช้าๆจนเราไม่รู้ตัว จากระยะหนึ่งสู่ระยะหนึ่งอาจใช้เวลานับ 10 ปีก็เป็นได้

มันเกิดจากอะไรได้บ้าง

ไขมันพอกตับเกิดได้จาก การมีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในร่างกายมากเกินไปจนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน(lipogenesis) โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากลุ่มฮอร์โมนทดแทน และการมีไขมันในเลือดสูงซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป เนื่องจากอัตราการเผาผลาญอาหารเริ่มลดลง

ความเสี่ยงที่จะเป็น

ถึงแม้ว่าอาการไขมันพอกตับจะสังเกตเห็นได้ยาก แต่ก็มีหลักเกณฑ์ทางการแพทย์เบื้องต้นเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหา ดังนี้

  • มีน้ำหนักมาก และมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง ลดน้ำหนักอย่างไรก็ไม่ลง
  • มีระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
  • เป็นเบาหวาน
  • รู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลีย
  • รู้สึกเจ็บตึง ๆ ที่ชายโครงขวา
  • มีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารไม่ลงและคลื่นไส้เป็นบางครั้ง
  • ระดับไตรกีเซอร์ไรด์(TG)สูงขึ้นไขมันเลว(LDL)เพิ่มขึ้น ระดับไขมันดี(HDL)ลดลง

การป้องกัน

ผู้รู้ได้แนะนำแนวทางการป้องกัน และลดความเสี่ยงจากไขมันพอกตับ ดังนี้

  • อย่าให้มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
  • ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญอันเป็นการลดความเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลินและไขมันพอกตับไปในตัว
  • ลด และเลิกการดื่มสุรา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้ตับมากยิ่งขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ไม่จำเป็น
  • ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องทำฟันและทำเล็บ
  • อย่าละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี
  • หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม fructose corn syrup สูง โดยให้อ่านฉลากให้ดีว่า มีส่วนผสมของน้ำตาลชนิดนี้หรือไม่ เช่นน้ำอัดลม เครื่องดื่มบรรจุขวดหรือกระป๋องทั้งหลาย
  • ลดแป้งขัดขาวในมืออาหาร เพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว ธัญพืชที่มีเมล็ด เช่น เมล็ดฟักทอง งา กินเนื้อปลา ไก่
  • ใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า หรือน้ำมันมะพร้าว ในการปรุงอาหาร
  • เลือกกินไขมัน ที่มีคุณประโยชน์เช่น อะโวคาโด เนยจากมะพร้าว น้ำมันปลา(fish oil)
  • กินผักที่ช่วยล้างพิษ เร่งกำจัดพิษตับ เช่น ผักตระกูลบร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำ กระเทียม หัวหอม
  • กินวิตามินบีและแมกนีเซียม (Magnesium) ที่ช่วยสนับสนุนให้ตับเยียวยาซ่อมสร้างเซลล์ตับที่เสียหายได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรที่ใช้เป็นทางเลือกบำรุงตับ และสามารถใช้ในภาวะไขมันพอกตับได้ ได้แก่ ขมิ้นชัน มะขามป้อม สมอไทย ลูกใต้ใบ รางจืด กระเทียม และมะนาว

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นแล้วสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยก็คือ การไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง

 

แหล่งที่มา

http://www.thaihealth.or.th/

https://www.bumrungrad.com

https://abphy.com/user/chalidanok

http://inter.phyathai.com/medicalarticledetail/1/14/1469/TH

http://blog.docsuggest.com/1793/why-alcohol-is-not-good-for-your-liver/

http://www.globalhealingcenter.com/natural-health/liver-cleanse-foods/

5 อันดับ ยาปฏิชีวนะที่มาจากธรรมชาติ

ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้ในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อใช้อย่างถูกต้องพวกมันจะสามารถฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหา เช่นติดเชื้อที่หู ปัญหากระเพาะอาหารและปัญหาผิวต่างๆได้ ยาปฏิชีวนะที่แตกต่างกันก็มีปฏิกิริยากับประเภทของของแบคทีเรียและชนิดของปรสิตที่แตกต่างกันด้วย แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะโดยขึ้นอยู่กับเชื้อโรค (แบคทีเรียหรือพยาธิ) ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อนั้นๆ อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะจะใช้ไม่ได้กับการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส เช่นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ การไอและการเจ็บคอ อีกทั้งยังใช้ไม่ได้กับกรณีการติดเชื้อราด้วย

ยาปฏิชีวนะได้กลายเป็นยาที่แพทย์ได้จ่ายให้คนไข้มากที่สุดประเภทหนึ่งในปัจจุบัน การจ่ายยาที่มากเกินไปนี้จะเป็นอันตรายกับผู้ป่วยเพราะอาจจะทำให้เกิดการดื้อยาขึ้นมาได้ นอกจากนี้การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ และก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่นอาการท้องร่วง และคลื่นไส้

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการลดอันตรายที่กล่าวมาข้างต้น จึงมีการแนะนำกันให้ใช้ยาปฎิชีวนะจากธรรมชาติมาช่วยด้วย อาหารหลายชนิดทำหน้าที่เป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาสุขภาพมากมาย นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะธรรมชาติส่วนใหญ่ยังสามารถรักษาการติดเชื้อไวรัสและเชื้อรา อีกทั้งยังไม่ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีที่อยู่ในร่างกายอีกด้วย

ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติเหล่านี้เพียงลำพังอาจไม่เพียงพอในการรักษาโรคติดเชื้อร้ายแรง ฉะนั้นสำหรับโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่รุนแรง เช่นไทฟอยด์ วัณโรค วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ยาปฏิชีวนะธรรมชาติเหล่านี้ในการรักษาเสริมด้วยยาปฏิชีวนะทั่วๆไปที่จ่ายโดยแพทย์ร่วมกัน ขอให้แน่ใจว่าคุณกินยาครบโดสตามแพทย์สั่ง มิฉะนั้นอาจนำไปสู่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำให้เกิดอาการดื้อยาจนส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงขึ้นได้

ต่อไปนี้คือ ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ 5 อันดับแรก

 

1. กระเทียม

กระเทียมเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติที่ช่วยในการต้านเชื้อราและเชื้อไวรัส ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารจุลินทรีย์และการติดเชื้อ 2552 พบว่าสารประกอบกำมะถันที่เรียกว่าอัลลิซิในกระเทียมเป็นสารออกฤทธิ์ นอกจากนี้กระเทียมยังมีวิตามิน สารอาหารและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยรวมด้วย

วิธีการนำไปใช้

  • กินกระเทียมดิบ 2-3 กลีบในขณะท้องว่าง และให้ใช้กระเทียมในการปรุงอาหารด้วย
  • การกินอาหารเสริมกระเทียมก็ยังช่วยป้องกันเชื้อโรคและโรคต่างๆได้ด้วย เพื่อความแน่ใจให้ทำการปรึกษาแพทย์ก่อนการกินอาหารเสริม

2. น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งถูกจัดเป็นหนึ่งในยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และเป็นยาฆ่าเชื้อโรค จากการศึกษา 2557 ของสมาคมเคมีอเมริกันพบว่าน้ำผึ้งมีความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อในหลายระดับ ทำให้เป็นการยากที่แบคทีเรียจะพัฒนาตัวเองในการต้านทานได้ การรวมตัวกันอย่างลงตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ความเป็นกรด ความเข้มข้นของน้ำตาลที่สูงและโพลีฟีนทำให้น้ำผึ้งฆ่าเซลล์แบคทีเรียได้ เพื่อให้ได้ประโยชน์ในเรื่องการต่อต้านเชื้อของน้ำผึ้งสูงที่สุด ส่วนใหญ่มักจะใช้น้ำผึ้งป่า หรือน้ำผึ้งออแกนิค น้ำผึ้งมานูก้ายังเป็นตัวเลือกที่ดีและได้พบว่ามีประโยชน์ในการรักษาบาดแผลที่ทำให้เกิดหนองได้ด้วย

วิธีการนำไปใช้

  • เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้ดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งและอบเชยในปริมาณเท่าๆกันวันละครั้ง
  • ใส่น้ำผึ้งในชา ทำเป็นสมูทตี้ หรือผสมในน้ำผลไม้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่จะทำให้ดีต่อสุขภาพ

3. น้ำมันออริกาโน

จากการศึกษาในปี 2544 โดยศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ระบุว่าน้ำมันออริกาโนอาจมีประสิทธิภาพต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการดื้อยา คาร์วาครอลเป็นส่วนประกอบทางเคมีในน้ำมันออริกาโนที่ช่วยลดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพที่มีการใช้กันในสมัยโบราณ

นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านการฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อรา ต้านการอักเสบ ต้านปรสิตและมีคุณสมบัติบรรเทาปวดอีกด้วย

วิธีการนำไปใช้

  • สำหรับการรักษาเท้าหรือเล็บที่ติดเชื้อ ให้ใส่น้ำมันออริกาโน 2-3 ช้อนชาลงไปในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่น หลังจากนั้นให้แช่เท้าลงไป แช่ไว้ประมาณ 2-3 นาทีทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
  • สำหรับไซนัสและอื่น ๆ ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ให้ใส่น้ำมันออริกาโน 2-3 หยดลงไปในหม้อต้มน้ำและสูดดมไอน้ำ ทำเช่นนี้วันละครั้งจนกว่าการติดเชื้อจะหายไป

4. สารสกัดจากใบมะกอก

ยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติของสารสกัดจากใบมะกอกสามารถรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกัน จากการศึกษาในปี 2547 ที่มีการตีพิมพ์ในวารสาร mycoses มีข้อสังเกตว่าใบมะกอกมีศักยภาพเป็นยาปฏิชีวนะที่ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา นอกจากนี้สารสกัดจากใบมะกอกยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

วิธีการนำไปใช้

  • คุณสามารถทำสารสกัดจากใบมะกอกไปใช้นอกบ้านได้ โดยใส่ใบมะกอกสดสับหนึ่งกำมือลงในขวดแก้วที่มีฝาปิด เทวอดก้าให้ท่วม ปิดฝาและเก็บไว้ในที่มืดเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ทำการกรองน้ำมันออกมาโดยใช้ผ้าขาวบาง เพียงเท่านี้คุณก็จะได้สารสกัดจากใบมะกอกโฮมเมดที่พร้อมใช้งาน
  • อีกตัวเลือกหนึ่งคือการกินสารสกัดจากใบมะกอกในรูปแบบอาหารเสริม 250-500 มิลลิกรัมต่อแคปซูล วันละสองครั้งเป็นประจำ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งาน

5. ขมิ้น

ในทางการแพทย์อายุรเวทและแพทย์แผนจีน ระบุว่าคุณสมบัติการเป็นยาปฏิชีวนะของขมิ้นถูกนำมาใช้เพื่อช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคและช่วยส่งเสริมการป้องกันของร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในแผลได้ด้วย จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารการต้านจุลชีพและเคมีบำบัดในปี 2552 ระบุว่าฤทธิ์ต้านจุลชีพของขมิ้นชันกับเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในกระเพาะอาหารแสดงให้เห็นผลในเชิงบวก โดยมีเคอร์คิวมินเป็นสารออกฤทธิ์ในขมิ้นชัน

วิธีการนำไปใช้

  • ผสมผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำผึ้ง 5-6 ช้อนโต๊ะ เก็บไว้ในขวดสุญญากาศ กิน½ช้อนชา วันละสองครั้ง
  • นอกจากนี้ยังสามารถใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขมิ้น 400-600 มิลลิกรัมวันละสองครั้ง แต่ควรมีปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งาน
  • ดื่มน้ำขมิ้นสกัด 2-3 ขวด หรือ 1-2 ซองต่อวัน

ขมิ้นกินวันละเท่าไหร่

เคยมีคนถามว่าขมิ้นชันกินวันละเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล มันยากนะครับที่จะบอกให้ชัดเจนว่ากินเท่าไหร่ ที่ว่ายากก็เพราะว่าการดำรงชีวิตของคนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบกินของปิ้งย่าง บางคนก็ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี รวมถึงขมิ้นที่บริโภคได้ก็มีอยู่หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น กินขมิ้นสดกับน้ำพริก กินขมิ้นผงแคปซูลหรือกับแกงต่างๆ หรือแม้กระทั่งขมิ้นสกัดที่สกัดกันมาเฉพาะสารสำคัญ จากปัจจัยต่างๆเหล่านี้การกินเท่าไหร่จึงได้ผลเป็นสิ่งที่ตอบได้ยากมาก ผมว่าก็คงไมม่มีใครฟันธงได้ แต่ที่แน่ๆเราควรจะทราบว่าปริมาณที่กินได้ต่อวันเป็นเท่าไหร่

จำนวนขมิ้นที่สามารถกินได้ต่อวันนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการกิน ซึ่งได้แก่ กินเพื่อป้องกัน หรือกินเพื่อรักษา รวมถึงวิธีในการกินด้วย เพราะขมิ้นโดยปกติจะไม่ละลายในน้ำ แต่จะละลายในไขมันทำให้ขมิ้นถูกขับออกจากร่างกายก่อนที่ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ รุปแบบในการบริโภคของขมิ้นจึงมีหลักๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ก็ยังมีรูปแบบเพิ่มเติมอีกรุปแบบหนึ่งคือการสกัดขมิ้นเพื่อให้ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายดุดซึมสารสำคัญได้ดีขึ้นด้วย

จากการค้นหาข้อมูลต่างๆพบว่ามีสถาบันที่น่าเชื่อถือในต่างประเทศที่มีการทำการวิจัย และทดสอบจำนวน และรูปแบบในการกินว่าควรเป็นเท่าไหร่ ดังนี้

ข้อมูลของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์

  • ขมิ้นสดหั่น เช่นกินกับน้ำพริก หรือสลัด ปริมาณที่กินได้คือ 1.5 – 3 กรัมต่อวัน
  • ขมิ้นตากแห้ง ผงขมิ้น ปริมาณที่กินได้คือ 1 – 3 กร้มต่อวัน
  • อาหารเสริมในรูปแบบผง (เคอร์คิวมิน) ปริมาณที่กินได้คือ 400 – 600 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน

สำหรับประสบการณ์ของตัวผมเอง ผมกินขมิ้นชันสกัดที่ละลายน้ำได้ ไม่มีกลิ่นฉุน มาได้ก็น่าจะ 3 ปีละครับ ผสม 1 ช้อนชาพูนๆ (ประมาณ 5 กร้ม) กับน้ำ 500 มิลลิลิตร ดื่มเป็นประจำทุกวัน ก็ไม่มีผลอะไรที่ไม่ดีนอกจากจะรู้สึกว่ามีสุขภาพดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากโรคประจำตัวที่เคยเป็นก็ไม่ได้เป็นมานาน อาการที่เหมือนมีเสมหะอยู่ในลำคอตลอดเวลาก็หายไป ดื่มพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลก็ไม่รู้สึกว่ามีอาการเมาค้าง เป็นต้น ลองดูครับกินแบบไหนก็ได้ ได้รับประสบการณ์สุขภาพดีๆ แล้วก็มาบอกต่อกันนะครับ

รู้ให้ชัด ประโยชน์ของ เคอร์คิวมินอยด์ ใน ขมิ้นชัน

เคอร์คิวมินอยด์ ใน ขมิ้นชัน

  • ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง

โดยมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มากกว่าวิตามินอี อย่างน้อย 50 เท่า ซึ่งสารอนุมูลอิสระนี้เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งผิวหนัง และมะเร็งลำไส้

โดยสามารถป้องกันสารเคมี ยาฆ่าแมลงเช่น ดีดีที และไดอ๊อกซิน ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ร่างกาย ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

  • ช่วยส่งเสริมการรักษาโรคมะเร็งให้ได้ผลดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่รักษาในขั้นเคมีบำบัด โดยป้องกันสารที่ใช้ในเคมีบำบัดไม่ให้ไปทำร้ายเซลล์ที่ดี และเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี และป้องกันโรคผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกลากที่เกิดจากเชื้อรา
  • ช่วยป้องกันตับอักเสบ เนื่องจากสารพิษ โดยมีคุณสมบัติในการล้างพิษในตับตามธรรมชาติ และเนื่องจากตับ เป็นแหล่งกำเนิดของน้ำย่อยหลายชนิด จึงเป็นกระบวนการในการลดอาการจุกเสียดทางอ้อม
  • ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลที่สูง (High cholesterol) และเผาผลาญไขมันในร่างกาย (Fat Burn)
  • ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s) โดยยับยั้งการก่อเกิดเอนไซม์ acetyl-cholinesterase ที่ทำลายเซลสมอง
  • ช่วยลดอาการตื่นเต้น (Anti-inflammatory) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ

ประโยชน์เยอะ / ความนิยมน้อย

  • คนจำนวนมากตระหนักถึงคุณวิเศษของ “ขมิ้นชัน” แต่ทำไมจึงไม่บริโภคกัน ถ้าจะว่าประโยชน์น้อยคงไม่ใช่ แต่น่าจะมาจากกลิ่นเฉพาะตัวที่รุนแรงทั้งขณะบริโภคและหลังบริโภค, มาตรฐานความสะอาด, รวมไปถึงการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของ “เคอร์คิวมินอยด์” ทำได้น้อย เนื่องจาก “เคอร์คิวมินอยด์” ละลายได้ดืในไขมัน จึงต้องบริโภคในปริมาณมาก ถ้าจะให้เกิดประโยชน์ทางการรักษาอย่างแท้จริง
  • ดังนั้น จึงมีการคิดค้นวิธีการต่างๆเพื่อให้บริโภคง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม “เคอร์คิวมินอยด์” เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น วิธีหนึ่งที่ได้ผลคือ การทำให้ “เคอร์คูมินอยด์” ละลายน้ำได้

curcuminoidheart

แหล่งที่มา

  1. Shishodia, S., et al. “Curcumin: Getting Back to the Roots,” N.Y. Acad. Sci.: 1056, 206-217, 2005.
  2. Bharat, B.A., et al. “Curcumin–Biological and Medicinal Properties,” Turmeric: The genus Curcuma; Medicinal and aromatic plants–industrial profiles, edited by Ravindran, P.N., et al. Boca Raton, FL: CRC Press, 2007.
  3. Kotwal, G.J., et al. Natural Products and Molecular Therapy, First International Conference. New York, NY: Annals of the New York Academy of Sciences, Vol. 1056, 2005.
  4. Anand, P., et al. “Bioavailability of Curcumin: Problems and Promises,” Pharmaceutics: 2007, 4(6), pp. 807-818: www.pubs.acs.org/doi/~. (Cytokine Research Laboratory and Pharmaceutical Development Center, Department of Experimental Therapeutics, The University of Texas M.D. Anderson Cancer Center, Houston, Texas.)
  5. a b Shoba G; Joy D; Joseph T; Majeed M; Rajendran R; Srinivas PS (May 1998). “Influence of piperine on the pharmacokinetics of curcumin in animals and human volunteers”. Planta Med 64 (4): 353–6. doi:10.1055/s-2006-957450PMID 9619120
  6. KHOPDE, S.M., K.I. PRIYADARSINI, P. VENKATESAN, etal. 1999. Free radical scavenging ability and antioxidant efficiency of curcumin and its substituted analogue. Biophysics. Chemical. 80: 85-91
  7. Cronin, J.R. “Curcumin: Old spice is a new medicine.” Journal of Alternative & Complementary Therapies: Feb. 2003, pp. 34-38.
  8. Sarker, S.D., et al. “Bioactivity of Turmeric,” Turmeric: The genus Curcuma; Medicinal and aromatic plants–industrial profiles, edited by Ravindran, P.N., et al. Boca Raton, FL: CRC Press, 2007.
  9. Cheng, A.L., et al. “Phase I clinical trial of curcumin, a chemoprotective agent, in patients with high-risk or pre-malignant lesions. Anti-cancer Res. 2001; July-Aug 21:2895-2900: www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11712783?dopt=Abstract

“ขมิ้นชัน” พืชสมุนไพรคุ้ยเคยของคนไทย

หากถามคนไทย 100 คน ว่ารู้จัก “ขมิ้นชัน” ไหม ทุกคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้จัก” แต่หากถามต่อไปว่า รู้ไหมว่า “ขมิ้นชัน” มีประโยชน์อย่างไร อาจจะมีไม่ถึง 20 คน ที่จะให้คำตอบคุณได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

จากประโยชน์นานับประการของสารออกฤทธิ์สำคัญในขมิ้นชัน ที่ชื่อว่า “เคอร์คิวมินอยด์” (curcuminoid) ทำให้ “ขมิ้นชัน” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นบัญชียาสมุนไพรแห่งชาติของไทยเลยทีเดียว และไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยที่เห็นความสำคัญนี้เท่านั้น ในต่างประเทศเองก็ยังเห็นประโยชน์อันมหาศาลนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา, อังกฤษ, หรือ ญี่ปุ่น เนื่องจากประเทศเหล่านี้สังเกตุเห็นว่าอัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ของชาวอเมริกันผู้ซึ่งนิยมบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยความมันจากไขมันที่มีสูงขึ้นทุกปี ผิดกับชาวอินเดียที่นิยมบริโภคอาหารที่มีความมันเช่นกัน แต่กลับมีสถิติผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าหลายเท่าตัว ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญคือ อาหารของชาวอินเดียแทบทุกประเภทมีส่วนผสมชนิดหนึ่งแทรกเป็นเครื่องปรุงอยู่เสมอ นั่นก็คือ “ขมิ้นชัน”

turmeric-033

ไม่มีตับ ไม่มีชีวิต

ในปัจจุบันสังคมที่เร่งด่วนทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไป การกินอาหารที่เร่งรีบ และไม่เป็นประโยชน์ ทำให้โรคไกลตัว กลับกลายเป็นโรคใกล้ตัว คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญๆ ที่จะทำให้เสียชีวิตโดยเฉียบพลันเท่านั้น เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจ และโรคเกี่ยวกับกระแสเลือด แต่หารู้ไม่ว่าอวัยวะที่ทำให้เสียชีวิตแบบผ่อนส่งก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

“ตับ” เป็น อวัยวะส่วนหนึ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราควรจะทำความรู้จัก ให้ความสำคัญ และดูแลอย่างดี เพราะอะไร เรามาศึกษากัน

ในปัจจุบัน เราจะพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิต จากโรคตับเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า จะเป็น มะเร็งตับ, ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส, โรคไขมันพอกตับ, และตับแข็ง โดยจากสถิติพบว่าคนไทย 10 คน จะเป็นโรคตับ 1 คน

มีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุการเป็นโรคตับ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ลเพียงอย่างเดียว จึงคิดว่า การไม่ดื่มแอลกอฮอล์ล คงไม่มีวันต้องเผชิญกับ ปัญหาจาก “โรคตับ” แต่หารู้ไม่ว่า คุณยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด “โรคตับ”

ก่อนที่โรคเหล่านี้จะมาเคาะประตูบ้านเรา  มาศึกษากันเถอะว่า” ตับ “นั้นสำคัญอย่างไร

liver

ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายเรา มีน้ำหนักโดยประมาณ 1.4 กิโลกรัม โดยมีหน้าที่สำคัญ 2 อย่าง

  • เป็นแหล่งแปรรูป (Processing Plant) สะสม และเก็บกัก (Storehouse)
    ตับทำหน้าที่ในการกรองเลือดที่ได้จาก หัวใจ และลำไส้ โดยจะทำการดักจับสารพิษ เช่น พวกยาฆ่าแมลงที่เรากินเข้าไปจากผัก ผลไม้, แอลกอฮอลล์ที่เราดื่มเข้าไป, สารพิษที่เกิดจากอาหารปิ้งย่าง, และสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการอื่นๆ และขับออกจากร่างกายผ่านทางไต และลำไส้ในรูปของอุจจาระ และปัสสาวะ

livercontent

  • เป็นแหล่งผลิต (Manufacturing hub)
    ตับทำหน้าที่ผลิตคลอเรสเตอรอล ที่เป็นส่วนประกอบตั้งต้นสำคัญของฮอร์โมน เช่น Estrogen (ฮอร์โมนเพศหญิง), Progesterone (ฮอร์โมนเพศหญิงตั้งครรภ์), Testosterone (ฮอร์โมนเพศชาย) เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบในการสร้างวิตามินดี(Vitamin D) และกรดน้ำดี(Bile Acid) สำหรับย่อยไขมันในอาหาร

นอกจากทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ตับยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด (Blood Clotting) อีกด้วย

ถ้าไม่มีตับ ก็ไม่มีชีวิต เห็นอย่างนี้แล้วลองคิดสิว่าเราควรดูแลตับของเราแล้วหรือยัง

มาร์คหน้าเพื่อให้หน้าสวยใสเปล่งประกาย

ส่วนประกอบ:
ขมิ้นผง 1/4 ช้อนชา
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนชา
อโวคาโดบด 1 ช้อนชา

1. ล้างเครื่องสำอางค์ และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน
2. ผสมส่วนผสมข้างต้นให้เข้ากันก่อนที่จะทาลงบนใบหน้า โดยการทาให้ทาวนเป็นวงกลม
3. ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
4. ใช้ผ้านุ่มซับหน้า
ควรมาร์คอาทิตย์ละครั้งเพื่อความสดใส

เคล็ดลับง่ายๆ และเป็นธรรมชาตืในการบรรเทาอาการคัน ระคายเคืองที่เกิดจากยุงกัด:

 

เคล็ดลับง่ายๆ และเป็นธรรมชาตืในการบรรเทาอาการคัน ระคายเคืองที่เกิดจากยุงกัด: #วิธีธรรมชาติในการบรรเทาอาการถูกแมลงกัดต่อย #บรรเทายุงกัด

– ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่โดนยุงกัด

– ใช้มะนาวฝานวางบริเวณที่ถูกยุงกัด

– ใช้หัวหอมฝานวางบริเวณที่ถูกยุง หรือ แมลงกัดต่อย เพื่อลดอาการปวด

– ใช้ เบกกิ้งโซดา ผสมน้ำ แล้วทาบริเวณที่ถูกยุงกัด

Thanks for the information and pictures from:
http://www.ba-bamail.com/content.aspx?emailid=19490

http://food.ndtv.com/ingredient/lemon-701101

http://foodfacts.mercola.com/banana.html

อาหารชะลอความแก่

  1. โฮลเกรน เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน
  2. ปลา – โอเมก้า3 ในไขมันปลาข่วยให้ประโยชน์หลายอย่างในด้านชะลอความเเก่ มันสามารถป้องกันหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและต่อต้านโรคอัลไซเมอร์ เพียงเเค่บรืโภคไขมันจากปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เช่นปลาแซลมอน ปลาเทราห์ หรือ ปลาทูน่า
  3. ผลิตภัณฑ์จากนม – เเคลเซี่ยมและวิตามินดีในผลิตภัณฑ์จากนมเป็นอาหารสำคัญสำหรับเสริมสร้างกระดูกให้เเข็งเเรง เช่น การดื่มนมไขมันต่ำ โยเกิร์ต หรือผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่นๆ 3 ถ้วยต่อวัน แต่หากคุณไม่ดื่มนมก็สามารถบริโภคอาหารชนิดอื่นทดเเทนได้เช่น นมถั่วเหลือง นมถั่วอัลมอนด์ หรือซีเรียลที่เสริมด้วยเเคลเซี่ยมเเละวิตามินดี
  4. ถั่ว – ไขมันในถั่วเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด ถ้าคุณหบีกเลี่ยงการกินถั่วเพราะไขมันสูงเเล้วหล่ะก็ คุณควรจะลองคิดดูใหม่ ที่จริงเเล้วมีกาีค้นคว้าหนึ่งที่เปิดเผยให้เห็นว่าการกินถั่วจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความดันสูง เเละคลอเรสเตอรอลสูงได้ถึง 20% เพียงเเค่คุณทานถั่ว 1ใน 4 ของ 1 ออนซ์เท่านั้น ซึ่งเท่ากับการกินอัลมอนด์เพียง 4 เม็ด

น้ำอุ่นบีบมะนาว

เริ่มต้นวันดีๆของคุณด้วยการดื่มน้ำอุ่นๆบีบมะนาวที่ช่วยให้ประโยชน์นานับประการกับสุขภาพ และถ้าคุณไม่ชอบรสเปรี้ยวเพียงเเค่ใส่ขมิ้นผงลงไป ก็จะช่วยให้รสชาดดีขึ้นได้เเถมยังได้ประโยชน์เพิ่มเติมอีกด้วย

เหตุผลต่อไปนี้คือเหตุผลที่คุณควรที่จะเริ่มวันใหม่ด้วยนิสัยการดื่มนี้
1. ช่วยเเก้ปัญหาผิว กรดจากน้ำมะนาวมีสาร Antioxidants ในปริมาณมาก ซึ่งช่วยในการขจัดของเสียเเละอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย นอกจากนี้วิตามินซีในน้ำมะนาวยังช่วยเสริมสร้างคลอราเจน (คลอราเจน คือ โปรตีนเเบบหนึ่งที่มีหน้าที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น)
2. ช่วยดีท็อกซ์ตับ ลองคิดดูว่ามันจะดีเเค่ไหนหากเราสามารถทำให้ตับของเรากลับมาทำหน้าที่ในการขจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนกับเป็นอวัยวะชิ้นใหม่ที่ไม่เคยได้รับผลเสียจากนิสัยการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เเละการบริโภคเเอลกอฮอลล์หรือไขมันมากเกินไป
3. ช่วยเร่งขบวนการรักษาหรือการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามินซีเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์ใหม่ซึ่
งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เเหล่งวิตามินซีที่ดีจะช่วยทำให้กระดูกเเละฟันเเข็งเเรง ผิวมีสุขภาพดีขึ้น สายตาดีขึ้น เเละข้อต่อดีขึ้น
4. ช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น น้ำมะนาวให้ประโยชน์ด้านสุขภาพนานับประการ เช่น ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล ปรับความดันให้เป็นปกติ ลดระดับน้ำตาลในเลือด เเละช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะการเกิดโรคซึมเศร้า หรือความกังวล ดังนั้นการดื่มน้ำมะนาวทุกวันก็ช่วยให้สุขภาพจิตดีด้วย